2012
ปรากฏการณ์และภัยพิบัติทางธรรมชาติ : นิบิรุดาวเคราะห์เพชฌฆาต
การทำนายเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมไทยและสังคมโลกนาน จึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำนายนั้นเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม การทำนายที่พบเห็นในปัจจุบันมีหลากหลาย ทั้งน่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือปะปนกัน คำทำนายที่พบเห็นบ่อยส่วนใหญ่จะเกี่ยวของกับชีวิตของคนนั้นๆ เช่น การทำนายดวงชะตาเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรัก โชคลาภ การงาน นอกจากคำทำนายส่วนตัวแล้วยังมีคำทำนายที่เกี่ยวกับประเทศหรือเมืองไม่ว่าจะเป็นชะตาประเทศ อนาคตของประเทศ ชะตาของผู้ปกครองเมือง แต่ในปัจจุบันนี้คำทำนายที่ได้รับความนิยมสูงสุดและเกี่ยวของกับมนุษยชาติทุกคน นั้นคือ คำทำนาย 2012 วันสิ้นโลก และแน่นนอนขึ้นชื่อว่าเป็นคำทำนาย อาจเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะเชื่ออะไรเราก็ควรจะหาข้อมูล ศึกษาด้วยตัวเองก่อนและดูความเป็นไปได้ แต่ถ้าหากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริงมีสิ่งหนึ่งสิ่งควรเก็บไว้อย่าให้หายเลยคือ สติ สติเท่านั้นที่จะนำพาเรารอดจากหายนะครั้งนี้ได้
นอกจากความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่เตือนมนุษย์ให้ระวังตัวแล้ว ทางวิทยาศาสตร์เองก็ได้ออกมาคุยเรื่อง 2012 เหมือนกันโดยกล่าวถึงแกนโลกพลิกตัวเปลี่ยนตำแหน่งทิศทางของขั้วโลกซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 14 ก.พ.2012-พ.ค.2013 ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่ดาวนิบิรุ โลก ดวงอาทิตย์ โคจรในแนวเดียวกัน โลกจะหยุดโคจรไปเป็นเวลา 3 วันทำให้เกิดคลื่นสินามึ แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบตัวเช่นเดียวกับการเกิดหนองหานในไทย
ความเชื่อเรื่อง 2012 และวันสิ้นโลก
ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกนั้นมีมาตั้งแต่สมัยโบราณเริ่มตันด้วยชาวคริสต์สมัยตันคริสตกาล อยู่ในราวๆช่วง ค.ศ.33-150 หลังจากนั้นมีคำทำนายมากมายเกี่ยวกับวันสิ้นโลกและจุดจบของคำทำนายเหล่านั้นคือ ลวงโลก ไม่เป็นความจริง คำทำนายเรื่องวันสิ้นโลกส่วนใหญ่จะมาจากเหล่านอสตราดามุส รวมไปถึงการไขปริศนาจากคัมภีร์ไบเบิลของทางศาสนาคริสต์เราเรียนรหัสลับนี้ว่าไบเบิลโค้ด ตัวอย่างการทำนายจากไบเบิลโค้ด เช่น คริสโตเฟอร์ โคลิมบัส ไขปริศนาคำทำนายจากไบเบิลโค้ดในปี พ.ศ.2044 คำทำนายกล่าวว่าโลกจะแตกในปี พ.ศ.2191 แต่ก็ไม่เป็นความจริง จนกระทั่งมีคำทำนายล่าสุดเมื่อปี 2009 กล่าวว่าโลกจะแตกดับในปี 2012 อันเป็นผลมาจากดาวนิบิรุ ชนโลก!!!
รู้จักกับดาวนิบิรุ ดาวเคราะห์เพชฌฆาต
ความเชื่อเรื่องดาวนิบิรุหรือ planet X ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ในตำนานของชาวสุเมเรียนเกิดขึ้นเมื่อปี 1995 บางแหล่งข้อมูลอ้างว่าพบแล้วมีขนาดประมาณดาวพฤหัส ไม่ทราบมวลและบริวาร เชื่อกันว่าดาวนิบิรุส่งแรงโน้มถ่วงรบกวนดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนแต่เมื่อส่งยานอวกาศไปตรวจสอบดาวยูเรนัสและดาวเนปจูนดู ปรากฏว่าไม่มีพลังงานแรงดึงดูดรบกวนดาวทั้งสอง นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่าดาวนิบิรุไม่มีจริง แต่ข้อมูลดังกล่าวกลับไม่เป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์บางท่าน ท่านเหล่านั้นเชื่อว่าดาวนิบิรุไม่ได้เป็นแค่ดาวเคราะห์ในตำนานแต่เป็นดาวเคราะห์ที่มีตัวตน นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังเชื่ออีกว่าดาวนิบิรุมีวงโครงจรกว้างใหญ่ไพศาลมาก ดังนั้น ตำแหน่งเดิมอาจไม่ได้อยู่ในระบบสุริยะของดวงอาทิตย์แต่อยู่ในระบบสุริยะของดาวซิริอุส ดาวนิบิรุจะโคจรเข้ามาในระบบสุริยะและเข้าใกล้โลกทุก 3600 ปี จากข้อมูลที่ออกมานั้นสอดคล้องกับข้อมูลของนักประวัติศาสตร์ที่กล่าวว่า การที่ดาวนิบิรุโคจรเข้ามาใกล้โลกเป็นเหตุให้มหานคร แอสแลนติส จมอยู่ใต้น้ำ และน้ำท่วมโลก สู่เรื่องเล่าของเรื่อโนอาร์
นอกจากจะมีข้อมูลที่สนับสนุนแล้วยังมีข้อมูลที่ยังคงค้านๆกันอยู่เพราะมีผลการศึกษาของ Mike Brown นักวิจัยจากแคลแทคได้พบและอ้างว่าดาว2300UB313 เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกค้นพบในปี 2006 ส่วนดาวเคราะห์นิบิรุที่อ้างว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 เช่นกันแต่ค้นพบเมื่อ 2002ยิ่งไปกว่านั้นมีการอ้างว่าสามารถดูดาวนิบิรุได้แล้วผ่านกล้องดูดาวในประเทศออสเตเรีย หรือสมารถดูผ่านโปรแกรม Google sky มีลักษณะเป็นดาวเคราะห์สีแดง ส่วนดาวเคราะห์ 2300UB313 ยังไม่มีรูปออกมาจึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าดวงไหนกันแน่คือดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ของระบบสุริยะ?
จริงหรือตำนานนิบุรุทำให้โลกพินาศในปี 2012
อย่างที่ทราบกันแล้วนะครับว่าดาวเคราะห์นิบิรุจะมาเยือนระบบสุริยะของเราและเข้ามาใกล้ๆโลกโลกทุกๆ 3600 ปีซึ่งดาวนิบิรุนี้เคยโคจรมาแล้วเมื่อประมาณ 500000 ปีก่อน(ครั้งที่มีหลักฐานแน่ชัดคือ ยุคน้ำแข็ง)ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าจะโคจรมาอีกครั้งในปี 2012 จนมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่า Nancy Lieder เธอไม่มีอาการทางประสาท และเธออ้างว่าเธอสมารถสื่อสารกับเทพเจ้าซีต้าได้ ซึ่งเธอได้กล่าวว่าเธอเป็นเสมือนผู้รับสารจากพระเจ้า พระเจ้าบอกเธอว่า โลกจะแตกดับในไม่ช้าและสั่งให้เธอนำข่าวนี้มาบอกแกมวลมนุษย์นอกจากความเชื่อเรื่องเทพเจ้าที่เตือนมนุษย์ให้ระวังตัวแล้ว ทางวิทยาศาสตร์เองก็ได้ออกมาคุยเรื่อง 2012 เหมือนกันโดยกล่าวถึงแกนโลกพลิกตัวเปลี่ยนตำแหน่งทิศทางของขั้วโลกซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลา 14 ก.พ.2012-พ.ค.2013 ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่ดาวนิบิรุ โลก ดวงอาทิตย์ โคจรในแนวเดียวกัน โลกจะหยุดโคจรไปเป็นเวลา 3 วันทำให้เกิดคลื่นสินามึ แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบตัวเช่นเดียวกับการเกิดหนองหานในไทย
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ควรรู้เรื่องแกนโลกพลิกกลับ
-ดวงอาทิตย์จะสลับขั้วแม่เหล็กทุก 11 ปีช่วงเวลานั้นจะเกิดพายุสุริยะ ก่อนหน้านี้มีการพยากรณ์ว่าจะมีการพลิกกลับขั้วของดวงอาทิตย์อีกครั้งในปี 2012 แต่แนวโน้มครั้งล่าสุดกล่าวว่าน่าจะกลับในปี 2013
-ประวัติศาสตร์โลกยุคใหม่เกิดขึ้นมาแล้วแต่ยังไม่ได้บันทึกนาซาก็เคยออกมาพูดเรื่องนี้ว่าโลกจะเกิดการพลิกแกนขั้วโลกเป็นเรื่องจริงแต่จะทำให้แม่เหล็กโลกอ่อนลงยังไม่เป็น 0
-ดวงอาทิตย์และโลกมีความสัมพันธ์กันเกี่ยวกับพลังงานโดยมีการแลกเปลี่ยนพลังงานกันแล้วใช้จนหมด พอพลังงานหมดแล้วจะพลิกกลับขั้วแม่เหล็กอีกครั้งเพื่อรับพลังงานใหม่ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้ใดโนเสาร์สูญพันธุ์
-การวิเคราะห์ของระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad กล่าวว่าการพลิกกลับขอองขั้วโลกทำให้เกิดปัญหาต่างๆบนโลก ไม่ว่าจะเป็น มีทิศทางการอพยพเปลี่ยนแปลง ภูมิคุ้มกันในสิ่งมีชีวิตต่ำ วัตถุอวกาศเฉียดใกล้โลกมากขึ้น เป็นต้น
จากการวิเคราะห์ดังกล่าวเรื่องดาวนิบิรุ ถ้าหากเกินขึ้นจริงจะกินระยะเวลาประมาณ 2 ปีคือเกิดระหว่างปี 2012-2014 หลังจากปี 2014 แล้วน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของอารยะธรรมครั้งใหม่ของโลก
หลังจากที่ผมได้ศึกษาเรื่อง 2012 กับดาวนิบิรุแล้ว ผมได้ไปเจอเว็บไซด์หนึ่ง เป็นเว็บที่นาซาออกมาบอกว่าดาวนิบิรุไม่มีจริงเป็นเพียงแค่ความเชื่อ ส่วนรูปที่อ้างว่าเป็นดาวนิบิรุพบที่ออสเตเรียโดยใช้กล้องส่อง พบว่ากล้องที่ใช้ส่องเป็นกล้องแบบคลื่นวิทยุ
รับคลื่นวิทยุแล้วมาแสดงเป็น ดังนั้น บริเวณดังกล่าวอาจมีคลื่นวิทยุผิดปกติที่กล้องจับได้แล้วเข้าใจผิดว่าเป็นดาวนิบิรุ
(รูปดาวเคราห์นิบิรุ จากกล้องแบบคลื่นวิทยุ)
พอได้ยินข้อมูลที่ออกมาขัดแย้งกันอยากนี้แล้วแต่คุณแล้วครับว่าจะเชื่อดีหรือไม่แต่ว่าเป็นผมถ้านาซาออกมาบอกอย่างนี้จริงความเชื่อของผมก็อาจลดลงและเริ่มไม่แน่ใจมากขึ้น 2012 นี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากจริงๆ
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือไม่อย่างนั้นก็เลื่อนออกไปก่อนพวกเราเหล่ามวลมนุษย์จะได้เรียนรู้การเอาตัวรอดมากขึ้น เอาตัวรอดทันเมื่อภัยเกิดขึ้นจริง #